วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บทความ ดร.นิเวศน์ พูดถึงหุ้นไทยช่วงนี้ + เปรียบเทียบความเสี่ยง กองทุนรวมหุ้น กับ การเลือกหุ้นเอง

เผอิญวันนี้อ่านกระทู้นี้ของ ดร.นิเวศน์ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=61566
(ดร. เขาพูดถึงตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ ว่าทำไมต่างชาติขายหุ้นออกเรื่อยๆ และวิเคราะห์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป - ผมแนะนำเข้าไปอ่านด้วย ได้ไอเดียใหม่ๆเยอะดี ^^ )
 
อ่านเสร็จแล้ว มีความคิดแว้บเข้ามาในหัว เกี่ยวกับการเปรียบเทียบความเสี่ยงระหว่าง กองทุนรวมหุ้น กับ การเลือกซื้อหุ้นเองเป็นตัวๆ
 
ถ้ายังจำกันได้ ในบทความเก่าๆบางอัน ผมเคยบอกว่า การเล่นกองทุนรวม ไม่ได้มีความเสี่ยงต่ำกว่า การเล่นหุ้นโดยเลือกเอาเองเป็นตัวๆ

เพราะว่า กองทุนรวมนั้น ปกติจะลงทุนในหุ้นหลายๆตัว และหวังผลการเคลื่อนไหวของราคาตามค่าเฉลี่ยของตลาดนั้นๆ (ไม่ต้องพูดถึงกองทุน active ซึ่งปกติแล้วผลตอบแทนน้อยกว่ากองทุนแบบ index เลย) แต่การเลือกหุ้นด้วยตัวเอง ถ้าทำตามหลักการแบบ VI เป็นอย่างดีแล้ว ถือไว้ซัก 4-5 ตัวในพอร์ต (เป็นการกระจายความเสี่ยงเล็กๆ เพราะปู่ปีเตอร์ ลินซ์ เคยว่าไว้ว่า โดยปกติการเลือกหุ้นสไตล์ VI แบบง่ายๆ มา 5 ตัว มักจะพลาด 1 เกินความคาดหมาย 1 และได้ผลตอบแทนไม่ดีไม่แย่ 3 ตัว) ความเสี่ยงมักจะต่ำกว่ากองทุนรวม ซึ่งยังไงๆราคาก็วิ่งตามความผันผวนเฉลี่ยของตลาด

อันนี้ยืนยันโดยประสบการณ์ที่ทดลองเองส่วนตัวเหมือนกัน เวลาที่คนอื่นตื่นเต้นเวลาหุ้นไทยร่วงๆ ส่วนใหญ่เวลาผมมองพอร์ตตัวเอง มักจะเห็นความเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อยหรือแทบไม่เห็นเลย คือ หุ้นส่วนใหญ่ที่เลือกมาตามวิธีแบบ VI จริงๆ มันไม่เคลื่อนไหวตามกระแสของตลาดเท่าไหร่

แต่ก็ไม่ใช่ว่าการลงทุนในกองทุนรวมนั้นไม่ดี เพียงแต่ต้องรู้วิธีในการอยู่กับมัน
โดยธรรมชาติของกองทุนรวมนั้น เราไม่สามารถเล่นแบบ trading ได้ (เพราะมันตอบสนองต่อคำสั่งช้า 2-3 วันทำการ) ดังนั้นสไตล์เดียวที่ผมนึกออกคือการบริหารพอร์ตแบบ passive หรือที่ ดร.นิเวศน์ เอง เคยเขียนบทความเอาไว้ว่าเป็น KISS investment (Keep It Simple and Stupid) ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตนั้นๆ กับการทำ portfolio rebalancing
เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้ผลดีระยะยาว (ระยะสั้นอาจมีเสียวได้โดยเฉพาะช่วงหุ้นร่วงๆช่วงนี้ ตามปัจจัยจากฝั่งเมกาฯ ที่เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้น ทำให้ดัชนีรวมของตลาดหุ้นเมกาฯ ร่วง ซึ่งแน่นอนกระทบตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกด้วย) โดยต้องใช้ความเชื่อมั่นในหลักการและอดทน ไม่หวั่นไหวต่อปัจจัยระยะสั้น วิธีบริหารพอร์ตแบบนี้จึงจะสำเร็จได้