วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560

บันทึก ณ วันสิ้นปี 2017 (เอาจากที่โพสต์บนเพจ facebook มาเก็บไว้บน blogger ซักหน่อย)

กำลังจะปีใหม่แล้ว คิดว่าควรโพสต์อะไรหน่อย
ปี 2017 ที่กำลังจะผ่านไป ก็เกิดไรขึ้นเยอะหลายอย่าง
ทั้งด้านงาน และชีวิตส่วนตัว

เรื่องงานคือ ผมเจอเหตุการณ์ layoff ครั้งที่ 2 ในชีวิต
ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติในสายอาชีพ IT ที่ผมทำงานอยู่
ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยวางแผนการเงิน เผื่อสำหรับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตแบบนี้ อาจจะเดือดร้อนได้
แต่ผมมีทุนสำรองฉุกเฉินที่เตรียมไว้อยู่แล้ว (โดยหลักการคือควรพอสำหรับใช้ชีวิตอยู่ได้ 6 เดือน) และผลตอบแทนในการลงทุนต่างๆก็ช่วยแบ่งเบาได้นิดหน่อยอีกด้วย


และโดยปกติคนโดน layoff จะมีเงินชดเชยจากนายจ้างตามกฏหมายและจากประกันสังคมอีกตะหาก
ถ้าบริหารการเงินตัวเองมาดี ไม่ใช้จ่ายเกินจำเป็นหรือฟุ่มเฟือย มันก็เป็นโอกาสดี ที่เราจะได้ออกเดินทางครั้งใหม่

ผมคิดว่าการเปลี่ยนงานนั้นค่อนข้างมีผลดีในแง่การพัฒนาตัวเองมากเหมือนกัน เพราะเราจะได้พบเจอองค์กรใหม่ๆ วิธีทำงานใหม่ๆ และคนเก่งอีกมากที่อยู่ในโลกกว้างใบนี้ที่เราจะได้ไปทำงานร่วมกัน เกิดการแชร์ประสบการณ์และได้ความรู้ใหม่ๆมากมาย
และการเดินทางครั้งใหม่ผมก็เลือกจะขุดความฝันสมัยเด็กมาดูอีกครั้ง เพราะนึกถึงคำสอนจากกูรูหลายคน ที่แนะไว้ว่า การเลือกอาชีพ ควรเป็นอาชีพที่ทำให้เรามีไฟและสนุกรู้สึกอยากตื่นไปทำงานทุกๆวัน อย่าใช้เงินเป็นตัวเลือกแรกเพราะเงินนั้นเป็นผู้นำทางชีวิตที่แย่ เมื่อคุณได้ทำงานที่ใช่สำหรับตัวเองจริงๆแล้ว มีความสุขและสนุกกับงาน เงินจะตามมาเอง

เดิมผมทำงานที่เรียกว่า Software Quality Assurance สายเน้นทำ Automation testing.
จนรู้สึกว่ามันอิ่มตัวมากแล้วพอดี
ตอนนี้เลยตัดสินใจ เปลี่ยนสายซะเลย
คือตอนเด็กๆผมชอบเล่นเกม และฝันอยากทำเกม
เลยคิดว่าจะไปเป็น Game Developer ละ
ตอนนี้ซุ่มทำเกมกับเพื่อนอันนึงอยู่ เพื่อเป็นพอร์ตผลงานในการเอาไปหางานใหม่ในแวดวงใหม่นี้ ซึ่งก็น่าสนุกว่าจะมีการผจญภัยแบบไหนรออยู่ต่อไป

ที่เล่ามาทั้งหมด อยากจะสื่อว่า
ไม่มีคำว่าสายเกินไป ในการทำความฝัน
หรือแม้แต่การเปลี่ยนงาน ที่ต้องยอมรับกับเงินเดือนที่ลดลงแน่ๆในช่วงแรก แต่ถ้าเราเก่งจริง ไม่นานเราจะบินได้สูงกว่าเดิมเมื่อได้ทำสิ่งที่เราชอบ

และผมกำลังจะพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง ผลเป็นยังไงเดี๋ยวมาอัพเดทอีกที

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนที่กำลังสร้างเนื้อตัวและวางรากฐานอิสระภาพทางการเงินให้ตัวเองอยู่ ให้ประสบความสำเร็จหรือมี progress ดีๆในตลอดปีใหม่นี้
สวัสดีปีใหม่ 2018 ครับ

ปล. ในด้านการลงทุน เนื่องจากการศึกษาหาความรู้ในการเปลี่ยนสายงานผมนั้นมันเยอะมาก ทำให้ไม่มีเวลามาดูแลการลงทุนแบบ active และปรับสไตล์ไปเน้นการลงทุนฝั่ง passive แทน ต้องขออภัยที่ไม่มีเวลามาเขียนบทความใหม่ๆเลย แต่ถ้าสงสัยเรื่องไหนก็ทิ้งคอมเม้นต์เอาไว้ในบทความที่สงสัยได้ครับ จะแวะมาตอบเป็นพักๆ

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

เริ่มต้นวางแผนการเงินและการลงทุนยังไงดี สำหรับมือใหม่มากกก

เผอิญมีเพื่อนถามมา ว่าอยากลงทุนบ้างต้องทำไง ก็เลยตอบไป เลยสรุปมาเขียน blog ด้วยเลยละกัน

หลายๆคน เมื่อทำงานใช้ชีวิตไปซักพัก อาจจะมีสิ่งกระตุ้นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เข้ามาในชีวิต ให้นึกได้ว่า จะทำงานหาเงินไปเรื่อย และใช้เงินไปเรื่อยๆ เดือนต่อเดือน โดยไม่มีแบบแผน คงไม่ได้แล้ว อาจจะนึกได้ว่า
- ถ้าอยู่ๆตกงานขึ้นมาจะทำยังไง
- ถ้าแก่จนทำงานหาเงินแบบเดิมไม่ได้แล้ว จะเอาเงินที่ไหนมาดูแลชีวิตที่เหลืออยู่
- เจ็บป่วยทำงานไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไง
- พ่อแม่ จะดูแลท่านยังไง
- ไม่อยากทำงานงกๆจนตายโดยไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตแบบที่อยาก (เช่น ไปท่องโลก, ทำธุรกิจส่วนตัว, ทำงานในฝัน)
- ฯลฯ

เราก็จะเริ่มมีความคิดว่า ไม่ได้ละ ต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับโจทย์พวกนั้น
ความคิดง่ายๆคือ "ถ้าเรารวย มีเงินมาก" ก็จะรับมือปัญหาพวกนั้นได้เกือบทั้งหมด (อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องรับมือแบบไม่มีเงินแน่นอน และดีกว่ามากๆด้วย)

ถ้าเรากล้าตั้งเป้าว่า "ชั้นจะต้องรวยให้ได้" แล้วละก็
คำถามต่อไปคือ แล้วทำยังไงถึงจะรวยหล่ะ ?

จริงๆหนังสือเรื่องการสร้างเนื้อสร้างตัว เสริมความรู้ทางการเงิน หรือสอนเรื่องวางแผนการเงิน ในท้องตลาด มีเยอะ ยิ่งกว่านั้น เดี๋ยวนี้ก็มี facebook page หรือ blog ที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ทั่วไป search เจอในเน็ตได้เต็มไปหมด

แต่บางทีมันก็ ... เยอะเกินไป จนจับต้นชนปลายไม่ได้ ว่าจะเริ่มยังไงดี !!

ถ้าจะให้เข้าถึงปรัชญาเรื่องนี้อย่างถึงหัวจิตหัวใจไม่มีวันลืม ก็สามารถลองไล่เรียงออกมาจาก "เป้าหมายชีวิต" ของเราก็ได้ เชื่อว่าทุกเป้าหมายมันต้องมี condition เรื่องเกี่ยวกับเงินอยู่แน่ๆ ว่ามีความจำเป็นทางการเงินยังไงถึงจะรองรับหรือไปถึงเป้าหมายพวกนั้นได้

ยังไงก็ดี ผมคงไม่พูดถึงวิธีตั้งเป้าหมายชีวิตในนี้ เดี๋ยวยาวไป lol กูรู (ทั้งจริงและไม่จริง) เรื่องนี้มีเยอะแยะ
ถ้าให้นึกชื่อ ผมนึกถึงคุณ บัณฑิต อึ้งรังสี (หลายคนอาจจะหมั่นไส้พี่แก แต่ถ้าแยกเรื่องความหมั่นไส้ส่วนตัว ออกจากเนื้อหาที่เขาสอนได้ เนื้อหาเขามีประโยชน์มากนะ) เป็นอันที่ย่อยง่ายสุดละ
อีกคนที่ผมรู้จักส่วนตัวคือพี่ รุตม์ (เจ้าของเพจ Anontawong's Musings : https://web.facebook.com/anontawongblog/ ) ที่ผมเคยทำกิจกรรมด้วยตอนทำงานบริษัทเดียวกัน ก็สรุปได้เข้าใจง่ายเช่นเดียวกัน

งั้นข้ามเรื่องวิธีตั้งเป้าหมายชีวิตไป สมมุติว่าเรามีอยู่แล้วเรียบร้อยละกัน
พอมีเป้าหมายแล้ว รู้แล้วว่าตัวเองมีความต้องการทางการเงินแบบไหน

แล้วไงต่อ?

ก็คงต้องทำยังไงก็ได้ให้ระบบการเงินเรามันเป็นไปตามเป้าหมายนั้น ซึ่งจริงๆมันจะต่างกันแค่รายละเอียดปลีกย่อย แต่ภาพใหญ่จะเหมือนกันคือ
"อิสระภาพทางการเงิน"

เดี๋ยวก่อนผมไม่ได้มาขายตรงหาดาวไลน์ ^^! (เคยเจอเพื่อนหลอกเข้าไปผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน)
อันที่จริงคำนี้มันเป็นไฟลท์บังคับ ที่ทุกคนต้องไปให้ถึง อย่างน้อยก็ก่อนที่เราจะเข้าวัยเกษียณ ที่เริ่มทำงานหาเงินงกๆไม่ไหวแล้ว
แต่มันก็ดีกว่ามาก ถ้าเราไปถึงมันให้ได้ก่อนเกษียณ ก็ขึ้นกับเป้าหมายของแต่ละคนแหละนะ

อิสระภาพทางการเงินของแต่ละคน อาจจะต่างกันในเรื่อง
- วิธีการ และ
- ขนาด
แต่นิยามที่ตรงกันคือ "ภาวะที่ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ว่าจะมีงาน(ที่มีเงิน) ให้ทำประจำหรือไม่อีกต่อไป เพราะว่า รายจ่ายประจำของเรา น้อยกว่ารายรับแบบ passive ที่เราสร้างได้จากระบบทางการเงินที่วางไว้"

คุญบอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ , นักเขียนชื่อดัง สรุปเอาไว้ง่ายๆ และผมก็เห็นด้วย ไว้ตามนี้คือ
- หาเงินเก่ง << ทำงานแลกเงินครับ เป็น active income
- เก็บเงินอยู่ << ใช้จ่ายมีเหตุมีผล และเท่าที่จำเป็นจริงๆ จะทำให้รายจ่ายเราไม่เกินรายรับ ที่เราจะหาได้
- รู้ช่องลงทุน << ไอ้นี่ทำให้มี passive income

ตามหลักของคิโยซากิ (คนเขียนหนังสือพ่อรวยสอนลูก) ก็ได้ เรื่อง เงิน 4 ด้าน
ซึ่งสรุปว่า ช่องทางหาเงินคนเรามี 4 ประเภทใหญ่ๆ แต่ด้านที่ให้ passive income ได้ มีแค่การลงทุน (I) หรือทำธุรกิจ (B) เท่านั้น และนั่นเป็นสิ่งที่เราต้องหมั่นสะสมให้มากขึ้นจนไปถึงอิสระภาพทางการเงินได้ในที่สุด

กลับไปที่เรื่อง อิสระภาพทางการเงิน ว่าด้วยเรื่อง วิธีการ และ ขนาด
เรื่อง "วิธีการ" นี่ ผมจะอธิบายแค่เรื่องการบริหารเงินและลงทุนแบบภาพกว้างในก่อนละกัน
ส่วนเรื่อง "ขนาด" นอกจากจะโดนกำหนดจากเป้าหมายชีวิตที่คุณตั้งเอาไว้แล้ว คุณจะได้จากการวิเคราะห์ งบการเงิน หรือ บัญชีรายรับรายจ่ายของตัวเอง
ที่ทำมานานมากพอ (ซัก 6 เดือน) เพื่อหาคำตอบว่า
- รายจ่ายแต่ละเดือนเรา มีรายจ่ายประจำจริงๆเท่าไหร่
- รายรับมีเท่าไหร่
- รายจ่ายที่ไม่ประจำมีเท่าไหร่
- อะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น
- ฯลฯ
ซึ่งตัวเลขพวกนี้จะช่วยในการวางแผนได้ต่อไป (ตั้งนั้น บัญชีรายรับรายจ่าย เป็นสิ่งขาดไม่ได้นะ)

ซึ่งนั่นจะตอบคำตามเรื่อง "ขนาด" ของอิสระภาพทางการเงินเราได้ ว่าต้องมี passive income ระดับไหนถึงจะจัดว่าเริ่มมี อิสระภาพทางการเงินในเบื้องต้นแล้ว

กลับมาเรื่องวิธีการบริหารเงินและการลงทุนส่วนบุคคลกัน
เราจะข้ามเรื่องวิธีทำบัญชีรายรับรายจ่าย และงบดุล ส่วนบุคคลไป เพราะน่าจะรู้กันแล้ว (ไม่งั้นมันจะยาวไปกะบทความนี้)

สำหรับคนๆนึง อาจจะลอง จำแนกเงินที่มีี ออกได้เป็นส่วนต่างๆได้ตามต่อไปนี้ (แบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้เงิน)

1. ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
2. ใช้จ่ายเฉพาะกิจ (แบ่งเป็นกองงบประมาณด้านต่างๆ)
- - เพื่อการให้
- - เพื่อเล่น
- - self improvement
- - ซื้อของใหญ่ของแพง (ที่จำเป็น เป็นครั้งๆ เช่น คอม, มือถือ, รถ, บ้านฯลฯ )
- - งบฉุกเฉิน (ค่ารักษาพยาบาล หรือสำรองใช้ยามว่างงาน 6 เดือน)
3. ออม/ลงทุน
- - active investment (พวกเราซื้อขายในตลาดเองได้โดยตรง เช่น หุ้น)
- - - เงินสด
- - - สินทรัพย์ต่างๆ (หุ้นที่มีในพอร์ต)
- - passive investment (พวกกองทุนรวม)
- - - เงินสด
- - - สินทรัพย์ต่างๆ (กองทุนที่มีในพอร์ต)

คุณอาจจะเคยเห็น นักวางแผนการเงินในทีวี มักจะให้สัดส่วนคร่าวๆมาว่า ควรมีเงินเท่าไหร่ ลงทุนหุ้นเท่าไหร่ ตราสารหนี้เท่าไหร่ ฯลฯ อันนั้นก็เป็นเรื่องเดียวกับที่ผมว่าไปแต่รายละเอียดน้อยกว่า และเป็นแบบสูตรสำเร็จรูป

แต่ผมอยากบอกว่า

สัดส่วนที่เหมาะสมแต่ละส่วน สำหรับแต่ละคน อาจจะไม่ต้องเป็นตามนั้นเป๊ะๆ
วิธีคิดคือ เราจะกันส่วนเพื่อการใช้จ่ายเป็น priority แรก แล้วดูว่าส่วนที่เหลือมีเท่าไหร่ ค่อยมาแบ่งสัดส่วนพอร์ตลงทุนอื่นๆตามลำดับ (ที่ผมแจกแจงไปนั่นแหละ)
โดยอ้างอิงจากผลการวิเคราะห์ บัญชีรายรับรายจ่ายย้อนหลัง 6 เดือนของเรา ที่ว่าไปก่อนหน้านี้ มาช่วยกำหนดสัดส่วนที่เหมาะสม

NOTE1: ว่าด้วยเรื่อง รายจ่ายเฉพาะกิจ หรือกองงบประมาณ ไม่ได้จำเป็นว่าต้องจัดให้มีงบเพียงพอตั้งแต่เริ่มต้น แต่ผมใช้วิธีค่อยๆออมเข้าไปในแต่ละกอง เช่น สมมุติเงินเดือนได้มา 3 หมื่น อาจจะแบ่ง 4% แบ่งออมลงไปในแต่ละกอง (5 กอง รวมกันก็ 20% เป็นต้น)

NOTE2 : รายจ่ายที่แบ่งไปลงทุน ให้คำนวณว่าเหลือเวลาอีกกี่ปีที่เรายังทำงานได้อยู่ก่อนเกษียณ แล้วหลังเกษียณเราต้องใช้จ่ายเงินแต่ละเดือนเท่าไหร่ (อย่าลืมคิดเงินเฟ้อด้วย) สัดส่วนที่เราแบ่งไปลงทุน ต้องมากพอจะทำให้เกิด passive income ที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณได้เป็นอย่างน้อย (แต่อยากเร็วกว่านั้นก็ได้ ก็ลองวางแผนดู)

NOTE3 : แต่ถ้าแบ่งออกมาแล้วพบว่า ไม่สามารถเตรียมเงินไว้ได้พอใช้ สำหรับรายจ่าย (ทั้งแบบประจำ และแบบเฉพาะกิจ) ก็ต้องหาทางพัฒนาตัวเองในทางด้านอาชีพการเงิน เพื่อจะได้มีรายได้ที่สูงขึ้นเพียงพอ หรือตัดลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นจริงๆให้น้อยลงให้มากที่สุด เพื่อให้ได้ตัวเลขที่ดูสมเหตุสมผล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเราได้นะ
;
;
ทีนี้มาดูเฉพาะส่วนของการลงทุนกัน

สำหรับผม สัดส่วนระหว่างพอร์ต passive กับ active ผมจะไม่เอามาคิดรวมกัน (แต่ตอนเริ่มออกตัวจะแบ่งให้มีขนาดเท่าๆกัน) เพื่อทดลองดูว่าพอร์ตไหนผลตอบแทนดีกว่าภายใต้ฝีมือเรา


พอร์ตการลงทุนแบบ active ผมก็ค่อนข้าง free style
คือถ้าวิเคราะห์เจอหุ้นดีๆ (เราเป็นพวกสไตล์ VI) ก็ซื้อไปแบบกะคร่าวๆ ว่าควรมีหุ้นในพอร์ตกระจายความเสี่ยงกันหน่อยซัก 4-5 ตัว ไม่ควรถือตัวไหนตัวเดียวเยอะเกินไป

พอร์ตแบบ passive ผม จริงๆแนะนำให้ลงแบบ DCA ทะยอยลงไปแต่ละเดือนเท่าๆกัน จะปลอดภัยกว่า
แต่ตอนนี้ผมไม่มีเงินเดือน ผมก็เลยปรับพอร์ตแบบง่ายๆไปเลยคือ แบ่งลงกองทุนรวมหุ้น ตปท. ที่เราคิดว่าเศรษฐกิจมั่นคงพอและ p/e ปานกลางถึงต่ำ ประเทศละเท่าๆกันไป ซัก 3 ประเทศ (ไทย, เมกา, จีน) และลงตราสารหนี้นิดหน่อย และเหลือเงินสดไว้เป้นสภาพคล่องนิดนึง
แล้วผมก็คิดว่าจะทำ portfolio rebalancing ทุก 6 เดือน สำหรับพอร์ตแบบ passive อันนี้
บันทึกเวลาลงปฏิทินไปเลย ให้มันเตือนเมื่อถึงเวลา ตอนนี้ก็ลืมๆมันไปเลย lol

จริงๆถ้าไม่ค่อยมีเวลามาก บางคนก็ทำแต่พอร์ต passive อย่างเดียวเลยก็มี
ผมเองก็ ลองนู่นลองนี่เยอะไปหน่อย ภาระการทำบัญชีเลยหนักมาก lol นี่ดองไว้เยอะอยู่ ขนาดว่าใช้ความสามารถใน MS-excel ช่วยเบาแรงแล้ว

ก็เดี๋ยวผลเป็นไงจะมาเล่าอีกทีละกันครับ
แต่อ่านมาถึงตรงนี้ น่าจะพอได้ไอเดีย วิธีคิด กลับไปประยุกต์กับโจทย์ชีวิตของตัวเองได้บ้างแล้วนะ :)

======== ภาคผนวก ===========
ข้อมูลแต่ละกองทุน เดี๋ยวนี้ดูเว็บ wealthmagik ง่ายดี
ซึ่งมีแต่พวก fact เราต้องมาคิดวิเคราะห์ต่อเอง

สำหรับการลงทุน กองทุนรวม ผมมีหลักง่ายๆให้คือ
- เหมาะกับการลงทุนสไตล์ passive เท่านั้น (DCA ไปรายเดือน) ไม่เหมาะกับการเทรดเพราะตอบสนองคำสั่งเราช้าไป
- เลือกกองทุนพวกกองทุนดัชนี จะดีกว่ากองทุน active (ซึ่งค่าทำเนียมแพงและผลตอบแทนไม่ดีเท่ากองทุนดัชนี)

นอกนั้นคือเลือกประเภทสินทรัพย์ที่กองทุนนั้นๆไปลงทุนให้ถูก จัดสัดส่วนให้ดี แล้วมาทำ portfolio rebalancing ทุก 6 เดือน

บางคนอยากเล่นหุ้นกู้ อันนี้ผมไม่รู้เรื่องเลย lol
ดังนั้นผมเอง หุ้นกู้ ก็เล่นผ่านกองทุนรวม ประเภทตราสารหนี้เอา
หุ้นกู้ กับ พันธบัตรรัฐบาล ล้วนแต่เป็น ตราสารหนี้ทั้งคู่

อ่อ กองทุนรวมประเภทหุ้น และเป็นกองทุนดัชนี ก่อนลงทุนให้สำรวจค่า p/e ตลาดหุ้นนั้นๆที่มันไปลงทุนด้วย ว่าไม่ควรแพงเกินไป (ดูเทียบกับประเทศอื่นๆ ก็ได้) และเป็นตลาดหุ้นประเทศที่เศรษฐกิจมั่นคงดีหน่อยนะ
วิธีหาข้อมูล ก็ลอง google คำว่า "global pe ratio" อาจจะมีบางเว็บทุกสรุปไว้ (แต่ข้อมูลมันจะอัพเดทช้าหน่อยคืออาจจะปีนึงอัพ 2 ครั้ง สรุปภาพใหญ่ๆ)

วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

เมื่อประโยค "อยากรู้ว่าประเทศไทยอีก 10 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร ให้ดูประเทศพัฒนาแล้ววันนี้" เริ่มใช้ไม่ได้

วันนี้เห็นข่าว ทีวีดิจิตอล หลายเจ้า ที่อ่วมหนัก อยากขอคืนช่องที่ประมูลไปแพงหูฉี่ คืนให้ กสทช. โดยไม่ต้องการเงินคืน แค่ไม่ต้องการจ่ายค่างวดอีกต่อไป

;
หลายคนอาจมีคำถามในใจว่า ทำไม ทีวีดิจิตอล ที่เป็นของเพิ่งมาใหม่ ถึงได้เหมือนกับ จะใกล้ลาโลกแล้วอย่างรวดเร็ว อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

ทำให้ผมนึกถึงหลักการนึงในการทำนายอนาคตการเติบโตของธุรกิจ ในตลาดหุ้นต่างๆ ข้อนึงที่เคยพูดกันมานานแล้ว

หลักนั้นประมาณว่า "อยากรู้ว่าประเทศไทยอีก 10 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร ให้ดูประเทศพัฒนาแล้ววันนี้"
VI ในยุคก่อน ใช้หลักการนี้ในการทำนายว่า ธุรกิจอะไร ที่อนาคตจะรุ่ง หรือจะร่วง และค่อนข้างจะใช้ได้แม่นยำดี

อย่างน้อยก็เมื่อซัก 5 ปีก่อน

แต่วันนี้ หลักการนี้เริ่มโดนท้าทาย ด้วยสิ่งที่เรียกว่า globalization และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้าน IT ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จนอาจเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติใหญ่ ที่เกิดขึ้นถัดจาก ยุคการปฏิวัติเขียว และยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม

ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น ทำให้การเติบโตทางธุรกิจ ในแต่ละพื้นที่ ไม่ได้อ้างอิงกับปัจจัยรอบตัวในพื้นที่นั้นๆเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
แต่เริ่มมีช่องทาง ในการเข้าถึงปัจจัยระดับ global ในทางตรงได้มากขึ้น และไร้พรมแดน

ซึ่งนั้นทำให้หลักการที่เราว่าไปข้างต้นนั้น โดนสั่นคลอน เพราะหลักการนั้นจะเป็นจริงเฉพาะเมื่อ การเติบโตทางธุรกิจ ขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมในพื้นที่ๆมันอยู่ (economic system ของท้องถิ่นนั้น) เป็นส่วนใหญ่

สิ่งที่มาทำให้ digital TV เริ่มใกล้เป็นธุรกิจตะวันตกดินคือ สื่อออนไลน์อย่าง Youtube (และ facebook ก็พยายามจะแย่งตลาด Youtube เพิ่มอีกซะด้วย, ไม่นับรายเล็กรายน้อยอื่นอีกมากมาย พวก online streaming ความบันเทิงที่ส่งถึงบ้านหรือมือถือเพียงแค่มี Internet)

สิ่งที่กำลังมาแทนที่ digital TV พวกนั้น ล้วนมีข้อได้เปรียบเดียวกันคือ ความไร้พรมแดน
แปลว่า ถึงเราอยู่ในประเทศไทย เราก็ใช้งานเทคโนโลยีระดับเดียวกันกับคนอีกซีกโลก ในประเทศพัฒนาแล้วต่างๆ
ความคิดที่ว่าเราต้องใช้ของที่ล้าสมัยจากประเทศเหล่านั้นแล้วเสมอ ไม่เป็นจริงอีกต่อไป (และไม่เป็นจริงมานานพอควรแล้ว ในวงการ IT เพราะเราก็ใช้ PC หรือ smartphone รุ่นเดียวกับที่ขายใน ตปท. มานานแล้ว ขาดแค่ infrastructure อย่าง Internet ความเร็วสูง แต่ตอนนี้มันพร้อมแล้ว)

ดังนั้นในการวิเคราะห์ ประเมินธุรกิจ เวลาจะหาหุ้นเพื่อลงทุน คงต้องระลึกถึงเรื่องนี้ไว้ด้วยเสมอ คงทำตามตำรา VI เก่าๆ เพียงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ทางออกของปัญหาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำซ้ำซาก สำหรับเกษตรกรไทย

เร็วๆนี้ เพิ่งเห็นข่าว เกษตรกร เอามะนาวมาเททิ้ง เพราะราคาตกต่ำมาก

ต่อมา เห็นข่าว รบ. แนะนำให้ปลูกอะไรซักอย่าง

ซึ่งจริงๆคงนำไปสู่ผลลัพธ์แบบเดิมๆ

ถ้าเข้าใจเรื่อง demand & supply จะรู้ว่าการให้ทุกคนปลูกอะไรเหมือนกัน พร้อมๆกัน และก็คงถึงเวลาเก็บเกี่ยวพร้อมๆกัน มันจะนำไปสู่ over supply และราคาตกต่ำแบบเลี่ยงไม่ได้ ถึงตอนนั้น เกษตรกร ก็ต้องเอาผลผลิตที่ราคาต่ำมาโยนทิ้งอีก ถามว่าแก้ยังไง
จริงๆภาครัฐแก้คนเดียวไม่ได้ เพราะต้องให้เกษตรกรมีความรู้เรื่องบริหารความเสี่ยงราคาผลผลิตเองด้วย ถึงจะช่วยนำกันไปในทางที่เหมาะสมได้

เพราะราคาสินค้าเกษตร มันจัดเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ราคามีวัฎจักร แต่คาดเดาจริงๆไม่ได้ เพราะถ้ามีคนพยายามเดาและจับจังหวะทำประโยชน์จากมันเยอะมากพอ จะเป็นปัจจัยกระทบให้มันเปลี่ยนไปจากที่คาดการณ์ไว้ได้อีก (และส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น เช่น การที่คิดว่าราคาสิ่งนี้จะดีในอีก 3 ปีข้างหน้า ถ้าทุกคนคิดเหมือนกันหมดและทำตามๆกัน กระแสนี้จะเป็นปัจจัยหลักทำให้ราคาสิ่งนี้ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้อีกต่อไปเพราะมันจะกลายไปเป็น over supply และราคาตกต่ำแทน)

สำหรับคนเรียนสายวิทย์มา ลองนึกถึงหลักการอันนึงของฟิสิกส์ควอนตั้ม น่ะครับ
คือหลักที่ว่า ในสิ่งที่ขนาดเล็กมากๆระดับอะตอมหรือ อิเล็คตรอน นั้น ถ้าเราพยายามหาความเร็วที่แม่นยำ เราก็จะไม่ได้ตำแหน่งที่แม่นยำ, แต่ถ้าเราพยายามจะหาตำแหน่งที่แม่นยำ ก็จะไม่ได้ความเร็วที่แม่นยำ
เพราะการพยายามหาความเร็ว จะไปรบกวนตำแหน่งของอนุภาค และการพยายามหาตำแหน่งของอนุภาค จะไปรบกวนความเร็วของมัน !! (เอ่อ ... ถ้าไม่เข้าใจก็ข้ามย่อหน้านี้ไปก็ได้ครับ แค่นึกถึงเลยเขียนมาเฉยๆ ^^! )

เรื่องราคาสินค้าเกษตรก็เหมือนกัน การพยายามจะทำนายจุดสูงสุดและใช้ประโยชน์ของผลทำนายนั้น กลับไปรบกวนการจะเกิดขึ้นของเหตุการณ์นั้นได้ซะเอง
ดังนั้นโลกของการ "เก็งกำไร" จึงไม่เคยมีสมการอะไรที่ทำนายผลลัพธ์ได้แม่นยำจริง (ไม่งั้นทุกคนคงรวยพร้อมกันหมดแล้ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้)

ดังนั้นถ้าให้รัฐฯ หรือคนกลางใดๆก็ตามเป็นเจ้าภาพ ว่าควรปลูกหรือไม่ควรปลูกอะไร เมื่อทุกคนทำพร้อมๆกันตามนั้น ผลลัพธ์มันจะ fail อยู่ดี

ถ้าจะให้มีเจ้าภาพบริหารจริงๆ อาจจะต้องกำหนดโควต้าเป็นภาคๆพื้นที่ไปเลย ว่าภาคไหนควรปลูกอะไรเท่าไหร่ และแต่ละภาคไม่ซ้ำกัน และช่วยแนะนำหรือให้เกษตรกร ใช้กลไกของตลาดซื้อขายล่วงหน้าเป็น เพื่อลดความเสี่ยงของความผันผวนด้านราคาของสินค้าพวกนี้
และใช้คู่กับการกระจายความเสี่ยงโดยการปลูกพืชหลายชนิด ที่แต่ละชนิดมีความเกี่ยวพันกันของราคาค่อนข้างต่ำ
อารมณ์เดียวกับ การกระจายความเสี่ยง ในพอร์ตการลงทุนของเรา ที่ว่าควรมีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่แตกต่างกัน ซัก 4-5 อย่าง ซึ่งมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างต่ำ เป็นต้น
แต่ระบบนี้จะไม่เวิร์ค ถ้าเกษตรกรฯ ไม่เข้าใจว่ารัฐฯ กำลังพาทำอะไร เมื่อไม่เข้าใจ ก็คงมีคนทำตามบ้างไม่ทำตามบ้าง ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ไม่ประสบผลสำเร็จอะไรได้

ผมเลยคิดว่า ยังไง เกษตรกร เอง ก็ต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองด้วย จะพึ่งคนอื่นอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ

ผมเชื่อว่าคงมีคนบ่นว่า เกษตรกรไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ มันยากไป รัฐเลยต้องทำให้
ถ้าเราเชื่อแบบนั้น มันก็จะเป็นแบบนั้น
ถ้าเราเชื่อว่าเรื่องพวกนี้ไม่ยากเกินไปที่เกษตรกรจะเรียนรู้ มีการพยายามให้ความรู้และนำทางอย่างเป็นระบบ ไม่ช้าก็เร็ว มันก็จะสำเร็จได้เอง

ส่วน สำหรับคนตัวเล็กๆอย่างเรา
สิ่งที่ทำได้ ก็คือ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุดครับ :) ก็จะเป็นส่วนเล็กๆในการพัฒนาสังคมโดยรวมได้เช่นกัน

วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ประกันภัยไทยในยุค Thailand 4.0 ที่น่าเป็นห่วง

โพสต์นี้แค่เล่าประสบการณ์นิดๆหน่อย ไม่ใช่บทความแนววิชาการอะไรครับ
 
คือผมกำลังจะต่ออายุประกันภัยฯ ของทีี่บ้าน
ตรวจสอบรายละเอียดในหน้ากรมธรรม์
เห็นเลขที่ Block ของบ้านต่างไปจากเมื่อ 2 ปีก่อน 1 ตัวอักษร เลยพยายามตรวจสอบ
คิดว่ายุคนี้แล้ว น่าจะหาข้อมูลจากเว็บ คปภ. ได้
ปรากฏว่า search หายังไงก็หาไม่เจอ ไม่ว่าจะ search ในเว็บมันหรือ search จาก google
 
รู้แค่ว่า เลขที่บล็อก (Blockcode) เป็นสิ่งที่จำเป็น ขาดไม่ได้ รหัสต้องตรงกับ พิกัดอัตราเบี้ยประกันอัคคีภัย

(อ้างอิง : http://www1.oic.or.th/downloads/comsys/bureau/nonlife/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99_08102555.doc )
(อ้างอิง2 : https://www.tgia.org/upload/file_group/28/download_460.pdf )

จึงไปหาเจ้า อัตราเบี้ยประกันอัคคีภัย , ปรากฏว่าหาบนเน็ตไม่ได้อีก
... มองแง่ดี ถ้าบ้านเลขที่เอาประกันภัยถูก ชื่อผู้เอาประกันภัยถูก น่าจะไม่เป็นไร
คราวนี้ลองตรวจสอบ ตัวแทน ประกัน คนนี้หน่อย
บนเว็บ คปภ. มีเมนู eservice บริการเรื่องนี้ (แจ่ม งานนี้หมูๆ)
กดเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าค้นหาชื่อตัวแทนประกัน ก็ใช้ชื่อ สกุล เลขที่ใบอนุญาติ กรอกๆไป
... แต่ ไม่ว่าจะกรอกอะไรไป ก็จะได้ผลลัพธ์ว่าไม่มีข้อมูล
... เลยหาเลขที่ตัวแทนหลายๆคนมากรอกเล่น ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม "ไม่มีข้อมูล"
ชักแหม่งๆ
เลยเข้าเมนู ตรวจสอบรายชื่อตัวแทนที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาติ
คราวนี้ไม่ต้องกดไม่เลือกอะไรเลย เข้าไปปุ้บ บอกว่า "ไม่มีข้อมูล"

LOL
สวัสดี Thailand 4.0 -> 0.4
ใบอนุญาติประกอบโรคศิลป์ของแพทย์ ทันตแพทย์ ยังตรวจสอบทางเว็บได้เลย
นี่ตัวแทนประกัน เคสปัญหาเยอะกว่า และปริมาณชุมกว่าแพทย์ ดันตรวจสอบไม่ได้

วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560

วิธีที่ภาครัฐจะใช้รับมือ Uber คือสิ่งตัดสินอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

ความขัดแย้งระหว่าง Uber กับ รัฐฯ ในตอนนี้
ผมก็สงสัย และหลายคนก็สงสัย ว่าทำไม Uber ไม่ทำให้ถูกกฏหมายซะให้จบๆ
แต่ถ้าให้เดา คือ ข้อกฏหมายปัจจุบัน มันคงขัดแย้งกับ business rule & process ของ Uber เยอะมากเกินไป จนไม่อาจทำตามได้
คือประมาณว่า ถ้าเปลี่ยนให้เข้ากับกฏหมายไทยตอนนี้ Uber ก็ไม่ใช่ Uber อีกต่อไป (มันจะไม่ใช่ solution ที่เรียกว่า Uber, ไม่ใช่ sharing economy อีกต่อไป)
ประเด็นคือ กฏหมายต้องตามโลกให้ทัน เพราะโลกมันต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ
เพราะเราก็เห็นอยู่ว่า หลายประเทศ เช่น สิงค์โปร์ หรือ มาเลเซีย ไม่ได้มีปัญหากับ Uber และ Uber เลยไม่ต้องอยู่อย่างผิดกฏหมายในนั้น

ธุรกิจทั้งหมด ล้วนเกิดมาเพื่อ แก้ปัญหา บางอย่าง
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ควรขัดขวางการเกิดขึ้นของธุรกิจใหม่ เพราะมันเท่ากับขัดขวาง การเกิดขึ้นของวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆ
เมื่อไม่มีวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆเกิดขึ้นมาได้ การพัฒนาใหม่ๆ จะเกิดได้อย่างไร ?
ในยุคนี้นั้น ผู้นำประเทศที่เข้าใจว่าโลกทุนนิยมทำงานอย่างไร และรู้จักใช้ประโยชน์จากมันได้ ทำให้ประเทศอยู่ใน position ที่มีความได้เปรียบทางธุรกิจ (และในเชิงเศรษฐศาสตร์) ได้ จึงจะเจริญได้เหนือประเทศอื่นๆ
เป็นโชคดีของ สิงค์โปร์ มากๆ ที่ได้นายกเป็นอดีต Programmer พอดี ซึ่งมันเข้ากับ megatrend ของยุคนี้ และนั่นทำให้ประเทศเขาเกิดความได้เปรียบเหนือประเทศอื่นขึ้นมาได้
มันไม่ใช่ยุค ฟิวดัล ที่เป็นแบบ Lord & Vassal แล้ว (ถ้าใช้คำเข้าใจง่ายก็ระบบศักดินา & ระบบอุปถัมภ์ บ้านเรา) ที่มุ่งเป้าแค่ทำยังไงให้ก๊กเรามีกำลังทหารสูงที่สุด แล้วคิดว่าจะไปชิงทรัพยากรของประเทศใกล้ๆมาเป็นความมั่งคั่งของเราได้

วิธีที่ รัฐ จะใช้รับมือกับการเข้ามาของ ธุรกิจเกิดใหม่พวก IT startup ต่างๆ คือสิ่งตัดสินว่า Thailand 4.0 กับการชวนให้มี startup ช่วงที่ผ่านมา จะสำเร็จหรือไม่
พวกเรารู้กันมานานแล้วว่า เดิมคนไทยไม่ได้เป็นชนชาติที่นิยมทำธุรกิจ มีธุรกิจเกิดใหม่น้อย
สาเหตุหลักๆ นอกจากวัฒนธรรม การอบรมสั่งสอนสไตล์ไทยๆ ไม่เอื้อ (แถมทำลาย) ความคิดสร้างสรรค์แล้ว
ถ้าผ่านด่านนั้นไปได้ อีกด่านที่มักไม่รอดคือ ถ้าธุรกิจใหม่ของเรา มันกำลังมาแทนที่ธุรกิจเก่าที่มีรายใหญ่และเส้นใหญ่ครองตลาดอยู่
คิดว่าจะรอดด่านนี้ไปจนตั้งตัวสำเร็จ โดยไม่เจออำนาจมืดมาฆ่าธุรกิจใหม่นี้ ได้รึเปล่า

นั่นคือปัญหาใหญ่ที่สุดอันนึง ที่เราแตกต่างจากประเทศที่อุดมไปด้วยธุรกิจเกิดใหม่
ประเทศพวกนั้น โอกาสโดนเล่นงานนอกเกมแบบนั้นยากกว่า
นั่นคือหน้าที่สำคัญที่สุดของภาครัฐ
ไม่ใช่ที่เป็นแบบในประเทศเรา ที่เป็นอุปสรรคต่อการเกิดนวัตรกรรม ใหม่ๆ ซะมากกว่า แถมยังเป็นพวกเดียวกันกับธุรกิจเก่ารายใหญ่นั้นไปซะอีก

ทุกครั้งที่มีการพยายาม ฝืนกลไกตลาด แทรกแซง ระบบเศรษฐกิจ ในจุดที่เป็น core features ของระบบเศรษฐกิจนั้นโดยตรง
ผมมักจะนึกถึงความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40
กรณี Uber มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น
ในอนาคตจะมี information technology ใหม่ๆถาโถมเข้ามาอีกเรื่อยๆ
นอกจากนั้นยังมี ai หุ่นยนต์ และโซลูชั่นทดแทนแรงงานมนุษย์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ

อันที่จริงก็มีการพูดถึงเรื่องนี้มาสักพักหนึ่งแล้วทั้งจากภาคเอกชน สถาบันผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ และแบงค์ชาติ
ว่าเราต้องพยายาม แก้ปัญหาแรงงานไร้ทักษะ ซึ่งประเทศเรานั้นมีอยู่เป็นจำนวนเยอะมาก
ถ้าไม่อยากให้พวกเขาถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง และโดนเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆแย่งงานพวกเขาไปหมด ก็ต้องพยายามผลักดันให้พวกเขาหลุดจากสถานะแรงงานไร้ทักษะให้ได้ ไปสู่ตำแหน่งงานที่ใช้ความรู้และทักษะให้มากขึ้น และไปสู่จุดที่เทคโนโลยีการผลิตเข้ามาทดแทนได้ยากขึ้น
งานนี้ไม่ใช่งานที่ทำครั้งเดียวจบเพราะว่าความก้าวหน้าของ ai นั้นมีมากขึ้นทุกวัน
การพยายามฝืนความเปลี่ยนแปลงนี้ โดยคิดแค่ว่าออกกฎหมายป้องกันเอาไว้ ไม่ให้เทคโนโลยีพวกนั้นเข้ามา และคนของเราจะได้ทำงานแบบเดิมต่อไป โดยที่ไม่ต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น มีความสุขกับการเป็นแรงงานไร้ทักษะต่อไป
มันอาจจะเหมือนได้ผลในระยะสั้น
แต่ว่าในระยะยาวแล้ว จะทำให้ประเทศของเราสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจในตลาดโลกมากขึ้นเรื่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆ
ในทาง software development เราอาจจะเรียกสิ่งนี้ว่าการสร้าง technical debts
ในภาษาทั่วไปอาจจะเรียกว่า การซุกปัญหาไว้ใต้พรม
ยิ่งปล่อยมันให้เนิ่นนานเท่าไหร่ความรุนแรงของมันก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงวันที่มันผลิแตกออกมา
ความเสียหายก็อาจจะประเมินค่าไม่ได้โดยเฉพาะมันเป็นความเสียหายบนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศทั้งหมด
เราอาจจะต้องกลับไปเริ่มพัฒนาประเทศโดยการนับหนึ่งใหม่
เพราะว่าเราตามโลกไม่ทันแล้ว และระยะห่างที่โลกวิ่งนำหน้าเราไปนั้นก็ไกลมาก

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

ปีเก่าผ่านไปแล้ว บัดนี้ก็ถึงเวลา ... สรุปบัญชีประจำปีสิครับ

ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้ว....
เวลาของการสรุปบัญชีงบการเงิน(และลงทุน) ส่วนบุคคล ปี 2016

ถึงจะทำมาหลายปีล่ะ แต่ถึงเวลานี้ทีไรก็เหงื่อตกทุกที ... เพราะ
- ยิ่งนานวัน ยิ่งมีความซับซ้อนของพอร์ตการลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย (รูปแบบการลงทุนหลากหลายขึ้น) การสรุปบัญชีก็ใช้เวลามากขึ้น
- ยิ่ง apply เทคนิคการบริหารการเงินส่วนบุคคลหลายแบบขึ้น ความซับซ้อนก็เพิ่มขึ้น

แม้ว่าจะมีการพัฒนาเครื่องมือในการช่วยให้งานเบาลงแล้ว (บางส่วนในบัญชีนี่เเขียน excel macro ล่ะ) แต่มันก็ยังถือเป็นกิจกรรมที่ใช้เวลามากอยู่ดี - - (แถมมี transaction ใหม่ๆเกิดขึ้นเรื่อยๆอีก)

ยังไม่นับเรื่องยื่นภาษีอีก lol เป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก
แต่เมื่อไหร่ที่ทำมันเสร็จ มันจะมีคุณค่ากับเรามากๆ ในเรื่องของการวัดผลพัฒนาการทางการเงินของตัวเอง

และยังมีคุณค่า ในด้านที่ช่วยวางแผนการเงินในอนาคตของปีต่อไปอีกด้วย

ดังนั้นถึงจะน่าเบื่อ แต่ก็คุ้มค่ากับการลงแรงลงเวลาทำมันแหละครับ :)

ว่างๆก็เคยมีคิดว่าจะทำ template บัญชี แชร์ให้คนอื่นไปใช้ดูบ้าง
แต่ติดปัญหานิดหน่อยว่า บัญชีของมัน มันดันเป็นศาสตร์การทำบัญชีที่พัฒนาขึ้นมาด้วยตัวเอง ทำให้คนอื่นน่าจะเข้าใจยากกับการใช้

คืองี้ครับ เมื่อครั้งที่ ผมเริ่มต้องทำบัญชีต้องต้องดูแลการเงินของบ้านตัวเอง
เพราะตอนนั้นผมดูแลบ้านและสิ่งที่เหลืออยู่ที่คุณแม่ผม ฝากให้ผมดูแลเป็นธุระทางการเงินให้ต่อ เพราะแม่ผมเผอิญแต่งงานและไปอยู่ ตปท. = = ซึ่งธุระการเงินแม่ผมซับซ้อนน้อยซะเมื่อไหร่ เพราะท่านเป็นนักหมุนเงินและหนี้บัตรเครดิตมาหลายใบ ... ภาระทุกอย่างเลยมาตกกะผมนี่แหละ บ้านที่ต้องดูแลก็อยู่ ตจว. อีก ในขณะที่ผมเรียนอยู่แถว กทม. (ตอนนั้นเรียน ป.ตรี ปี 2 อยู่) ค่อนข้างหนักสำหรับคนวัยนั้นน่ะ

แต่ตอนนั้นคือเราไม่ได้เรียนทางด้านการเงินหรือธุรกิจอะไร ความรู้ในการทำบัญชีมีแค่บัญชีรายรับรายจ่ายที่เรียนมาตอน ประถม มัธยม ก็ทำๆไป พอให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ก็ทำมาเรื่อย จากทำในกระดาษ พัฒนามาเป็น Excel
นึกอะไรออกก็ค่อยๆปรับ ค่อยๆแก้รูปแบบบัญชีมาเรื่อยๆ โดยยึดหลักว่าหลังแก้ไขแล้ว ความถูกต้องของตัวเลขความมั่งคั่งของผมและของแม่ต้องคงเดิม และมีคุณสมบัติใหม่ๆที่ต้องดีขึ้นด้วยในทางใดทางนึง (ง่ายขึ้น, สะดวกขึ้น, บอกข้อมูลที่เราอยากรู้ได้มากขึ้น)

หลังจากผ่านการพัฒนา ปรับแก้ ปรับแต่งมายาวนาน ราว 5 ปี ซึ่งมันก็พัฒนารูปแบบไปเยอะมากๆ ผมก็เพิ่งได้เริ่มเข้าสู่โลกการลงทุนครั้งแรก
และเมื่อมาทางสาย VI ที่ทำให้เราได้ศึกษาทางการอ่านงบการเงินตามหลักวิชาบัญชีจริงๆ
เพิ่งได้ถึงบ้างอ้อว่า ไอ้ที่เราทำๆมาทั้งหมดนั่น มีอะไรเทียบเคียงได้กับเรื่องไหนในงบการเงินบ้าง

ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่ระบบบัญชีที่เราพัฒนามาเองหมด โดยไม่เคยเรียนวิชาบัญชีจริงจังมาก่อน ออกมาสุดท้ายเทียบได้กับการที่เรามี 1). งบกำไรขาดทุน 2). งบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล) มาแล้ว
ส่วนของงบ กระแสเงินสดนั้น มันครึ่งๆกลางๆ จะว่าใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ได้ ก็เลยถือว่าไม่มีละกัน - -a

แต่ถึงอย่างนั้นบัญชีของผมก็ยังดูต่างจากงบการเงินโดยหลักทางบัญชีพอสมควร ในเรื่องการวัดค่าและภาษาที่ได้เรียกค่าต่างๆ หรือแม้แต่หลักการปลีกย่อยบางอย่างก็ไม่ตรงกับหลักบัญชีจริงๆซะทีเดียว เพราะผมยึดเอาตามลักษณะการใช้งานจริงของตัวเองเป็นหลัก

ดังนั้นผมเลยไม่คิดว่าจะแปลงมันให้คนอื่นไปใช้งานได้ง่ายหรือสะดวกนัก ภาษาที่ใช้แล้วไม่ตรงกับภาษาทางบัญชีจริงๆ แชร์ไปก็คงเหมือนปล่อยไก่ให้คนนินทาอีก งั้นก็เก็บไว้ก่อนดีกว่า

โดยส่วนส่วนตัวผม จึงเห็นว่า ถ้าใครจะมาศึกษาและลองเป็นนักลงทุน หรือต้องการบริหารการเงินส่วนบุคคลของตัวเองให้ดีขึ้น
บัญชีของคุณ อย่างน้อยต้องมี 2 ส่วนประกอบหลักคือ
 
1. งบกำไรขาดทุน - บัญชีรายรับรายจ่ายก็กึ่งๆจะถือว่าเป็นงบกำไรขาดทุนได้ แต่เป็นลักษณะข้อมูลดิบ มันจะเป็นงบกำไรขาดทุนจริงๆ ก็เมื่อคุณสร้าง จุดตัดรอบบัญชีแต่ละรอบอย่างเป็นระบบชัดเจน เช่น ตัดทุกๆ quarter หรือตัดทุกๆเดือน ก็แล้วแต่การใช้งาน ...... แต่ผมว่าถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน ตัดรอบบัญชีเดือนละครั้ง จะช่วยคุณในการวางแผนการเงินได้ดีกว่าน่ะ อย่างของผมจะตัดรอบบัญชีทุกวันที่ 20 ของเดือนครับ เพราะสมัยเรียนมหาลัยที่ผมเริ่มทำบัญชี เงินผมเข้าวันที่ 20 ของเดือน แล้วก็เลยใช้ระบบนี้เรื่อยมา

2. งบแสดงฐานะการเงิน (หรืองบดุล) - เป็นส่วนหลักในการลงทุน ที่บอกว่า เรามีทรัพสินอะไรบ้าง เงินสดในบัญชีธนาคารมีเท่าไหร่, ถือหุ้นอะไรบ้าง, ถือกองทุนอะไรบ้าง, มีลูกหนี้ใครบ้าง ฯลฯ โดยทั้งหมดนั้นต้องบอกคุณลักษณะที่งบดุลพึงต้องบอก คือ แต่ละสินทรัพย์ที่ว่าไปนั้น (ลูกหนี้ก็ถือเป็นทรัพย์สินในทางบัญชีได้น่ะครับเผื่อใครไม่รู้)
- มีมูลค่าปัจจุุบันคงเหลือเท่าไหร่
- ต้นทุนเท่าไหร่
- กำไรขาดทุนเท่าไหร่
- มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลง ณ วันที่เท่าไหร่บ้าง (เช่นมีการซื้อหรือขายหุ้น หรือปรับพอร์ต)

ว่าจะเขียนสั้นก็ยาวซะล่ะ ตัดจบแค่นั้นละกันครับ
 
May the force be with you เหล่าสหายผู้ต้องเคลียร์บัญชีทุกท่าน ไฟต์ๆ ทำๆไปมันต้องเสร็จสิน่า

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2560

วันนี้อ่านเจอข่าวว่า รพ.รัฐฯ กำลังจะเจ๊ง

จากข่าวนี้
http://www.thairath.co.th/content/835599
การจัดสรรเงินในระบบสาธารณสุขที่ไม่เป็นตามจริง น่าจะอธิบายปัญหาต่างๆ ทั้งๆที่ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยดีมาก แต่ สปสช. ทำให้ล้ม ดังที่เกิดปัญหาเป็นลูกโ

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/835599
การจัดสรรเงินในระบบสาธารณสุขที่ไม่เป็นตามจริง น่าจะอธิบายปัญหาต่างๆ ทั้งๆที่ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยดีมาก แต่ สปสช. ทำให้ล้ม ดังที่เกิดปัญหาเป็นลูกโ

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/835599
สรุปสั้นๆ (เนื่องจากก๊อปข้อความมาไม่ได้ ฮาๆ) คือ ระบบหลักประกันสุขภาพของบ้านเราดีมาก แต่โครงสร้างทางการเงิน ของทั้งระบบ ไม่สามารถอุ้มระบบนี้เอาไว้ได้ (รายจ่ายมากกว่ารายรับมาก) อีกทั้งโครงสร้างการบริหารที่บิดเบี้ยวจากส่วนกลาง ซุกและปกปิดปัญหาไว้แล้วให้บุคลากร ระดับปฏิบัติการเป็นคน absorb แทน จึงเกิดปัญหาสมองไหล (หมอ พยาบาล ฯลฯ ทนอยู่ในระบบนั้นไม่ได้ เพราะตัวเองจะตายซะก่อนคนไข้ แถมยังทำคุณบูชาโทษ โดนฟ้องร้องติดคุกกันอีก ใครจะอยากเสี่ยงอยู่ต่อไป)


ใครหวังพึ่งสวัสดิการรัฐอย่างเดียวขอให้คิดดีๆเพราะว่าเสี่ยงมากครับ
สิ่งที่เราทุกคน ทำได้และควรทำคือ

- มีกองทุนฉุกเฉินของตัวเอง ซึ่งควรมีปริมาณเงินเพียงพอจะใช้ชีวิตต่อไปได้อีก 6 เดือนเป็นอย่างน้อย กรณีป่วยจนทำงานไม่ได้เป็นเวลานานๆ (ใช้ตอนที่ตกงานได้ด้วยน่ะ)

- มีพวกประกันสุขภาพ และประกันอุบัติเหตุติดตัวไว้ ( ใครที่ทำงานบริษัทเอกชนใหญ่ๆดีๆหน่อย ก็มักจะมีอยู่แล้ว)

- ดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีที่สุด ทั้งอาหารการกิน, การออกกำลังกาย, พักผ่อนเพียงพอ, ตรวจสุขภาพประจำปี, แล้วใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท

วันนี้เอาสั้นๆครับ ส่วนภาคขยายความของแต่ละหัวข้อ นึกออกวันไหนเดี๋ยวน่าจะได้เขียนครับ