วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คำถามเกี่ยวกับกองทุนรวม LTF จากมือใหม่แบบสุดๆ (ภาค 2)

ถาม #7 : ทำไมคนหลายคน เลือกจะเล่นหุ้นเอง แทนที่จะลงทุน LTF

ตอบ : หลักๆคือ เพื่อผลตอบแทนที่มากกว่า เพราะโดยสถิติแล้ว ผลตอบแทนของกองทุนรวมนั้น ไม่สามารถเอาชนะค่าเฉลี่ยของตลาดได้ ดังนั้นหากเป้าหมายเราต้องการมากกว่านั้น ก็จำเป็นต้องทำอะไรแตกต่างจากคนส่วนใหญ่
และ กองทุนรวมที่มีเงินมากมายมหาศาลนั้น หลายๆครั้งจะเสียเปรียบนักลงทุนอิสระพอร์ตเล็ก เพราะ
- ด้วยความใหญ่ของมันเอง ทำให้เคลื่อนไหวได้ช้าและส่งผลกระทบต่อตลาดมาก ลงทุนได้เฉพาะกับหุ้นตัวใหญ่มากๆเท่านั้น (ซึ่งค่อนข้างอิ่มตัวกับการเติบโตแล้ว การหวังผลกำไรที่เติบโตมากๆต่อไปนั้นเป็นไปได้ยาก) ทำให้พอร์ตยิ่งขนาดใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งทำผลตอบแทนให้สูงได้ยากขึ้น
- มีกฏหมายที่ควบคุมอยู่ การเปลี่ยนนโยบายโดยพลการ ให้ต่างจากที่จดทะเบียนไว้นั้น ทำไม่ได้
- ความคาดหวังจากลูกค้าที่มักจะไม่ได้เข้าใจหลักการลงทุนระยะยาว และตื่นตกใจง่ายจากการผันผวนของตลาด ทำให้ ผจก. ต้องพยายามสู้กับความผันผวน ในขณะเดียวกันต้องพยายามทำกำไรให้สูง และเป็นขาขึ้นให้ได้มากที่สุด

ด้วยเหตุผลที่ว่ามานั้นทำให้กองทุนรวมค่อนข้างจะเหมือนโดนบังคับให้ต้องดำเนินการลงทุนแบบ passive และใช้หลักการทาง technical
... แต่ลองนึกภาพน่ะครับ กองทุนนั้นใหญ่และอุ้ยอ้าย แต่พยายามจะเล่นแบบ technical หรือ trading ซึ่งต้องใช้ความเร็วและคล่องตัว มันเป็นอะไรที่ขัดแย้งกันในตัวเองมาก
และดังนั้น ซึ่งหากเราต้องการจะลงทุนแบบ VI (ซึ่งเราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่า) เราต้องทำเอง เพราะไม่มีกองทุนไหนจะทำแบบที่เราต้องการได้

นอกเหนือจากนั้น ก็อาจมีเหตุผลอื่นๆอีกเช่น อยากลอง, อยากศึกษา, อยากรู้สึกว่าได้เป็นเจ้าของธุรกิจจริงๆ และเป็นการลงทุนจริงๆ, อยากกำหนดชะตาชีวิตการลงทุนด้วยตัวเอง เป็นต้น

สำหรับ LTF ยังมีข้อบังคับเรื่องเวลาที่ต้องถือ 5 ปี (ตอนนี้ 7 ปี) ปฏิทิน ด้วย ซึ่งสำหรับหลายๆคนที่รักอิสระ คงไม่รู้สึกถูกชะตากับมันในแง่นี้ อีกกระทง

===========================

ถาม #8 : เงินค่าตอบแทน ที่เป็นผลกำไรจากการลงทุน LTF หรือปันผล เขาจะจ่ายให้เราทุกเวลาเท่าไหร่ คือ ฝากเงินกับกองทุนละ ฝากทุกเดือน ทีนี้ผลตอบแทนที่เขาเอาไปลงทุนแล้วแจ้งเราเนี่ย เขาจะแจ้งเราทุกเดือนรึเปล่า ที่ว่าได้ 8-12% ต่อปีเนี่ย
เพราะว่าเราฝากเงินน่ะ ฝากเข้าไปทุกเดือนเนี่ย ผลตอบแทนเขาจะโชว์เราทุกเดือนเลยรึเปล่า

ตอบ : ฟังดูแล้วท่าทางจะยังไม่เข้าใจเรื่อง นิยามและกลไก ของสิ่งที่เรียกว่า กองทุนรวม คงต้องอธิบายเริ่มต้นใหม่

เวลาเราซื้อ กองทุน เราจ่ายเงินออกไป เราจะได้ "หน่วยลงทุน" ของกองทุนนั้น มาอยู่ในบัญชีของเรา

มอง "หน่วยลงทุน" เป็นสินทรัพย์น่ะครับ แล้วจะไม่งง
เทียบกับทรัพย์สินประเภทอื่นๆ เช่น ทอง, เงิน, น้ำมัน
ราคาของ สินทรัพย์ ตัวนี้ (กองทุนรวม) คือ NAV ซึ่งจะประกาศออกมาวันละครั้ง โดย ผจก. กองทุน (ซึ่งราคานั้น จะคำนวณมาจากมูลค่าสินทรัพย์อ้างอิงที่กองทุนไปลงทุนเอาไว้ ณ วันนั้นๆ) ในบัญชีกองทุนของเรา ในนั้นมีแค่ "หน่วยลงทุน" ที่เราซื้อเอาไว้อยู่

มูลค่าหน่วยลงทุนทั้งหมดที่เรามี = จำนวนหน่วยลงทุนที่เรามี * NAVล่าสุด

ตัวอย่าง ลองเปรียบเทียบกับ ทอง

- เวลาเราซื้อทอง ราคามันก็ขึ้นๆลงๆเป็นวันๆไปเหมือนกัน และถ้าเราอยากได้เงิน ก็ต้องเอาทองไปขายคืน
- หน่วยลงทุน ของกองทุนรวม ก็เหมือนกันเลย คือราคามันก็ขึ้นๆลงๆทุกวัน ถ้าเราอยากได้เป็นเงินกลับมา ก็ต้องเอาหน่วยลงทุนไปขายคืน

ถ้าเราถือไว้เฉยๆ ไม่ขาย และกองทุนก็ไม่ปันผล เราก็จะยังไม่ได้รับเงินกำไร(และขาดทุน) คืนมาครับ
แต่ไม่แนะนำกองทุนปันผล เพราะการปันผลของกองทุน นั้นไม่เหมือนปันผลของหุ้น
มันคือการที่กองทุนนั้น หักทรัพย์สินของตัวเอง ออกมาจ่ายให้เรา ซึ่งก็จะทำให้ค่า NAV ลดลง เป็นจำนวนเท่ากันกับที่เขาหักออกมา

คือ NAVวันก่อนปันผล = NAVวันหลังปันผล + ปันผลที่ได้ต่อหน่วยลงทุน

ดังนั้นการปันผลของกองทุน ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ ต้องมาเสียเวลาหาที่ลงทุนใหม่อีก เราเลือกขายเองเมื่อต้องการจะดีกว่า
เรื่องปันผลนี้ เป็นส่วนสำคัญอันนึงที่กองทุนแตกต่างจากหุ้นตัวจริงๆ

สำหรับกองทุนที่มีปันผล จะปันผลปีละกี่ครั้ง ขึ้นกับนโยบายของกองทุนนั้นๆ ที่ประกาศไว้ในหนังสือชี้ชวนครับ แต่ที่ผมเจอก็มักจะ 2 ครั้งต่อปี แต่ถ้ามันไม่กำไรเลย ตกต่ำมาก ก็อาจจะไม่ปันผลได้ครับ
การปันผลก็จะ โอนเข้าในบัญชีออมทรัพย์ของเรา ที่ผูกไว้กับบัญชีกองทุนฯ ของเราครับ

ปล. แนะนำเรื่องการใช้คำ ให้ใช้คำว่า ซื้อ/ขาย หน่วยลงทุน จะทำให้เข้าใจและไม่งง
หากไปมองแบบ เป็นการ ฝาก/ถอน เงินเข้าบัญชีกองทุน มันทำให้เห็นภาพไม่ตรงกับความเป็นจริงที่เป็นครับ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงดูงงๆ เหมือนจะไม่เข้าใจ

===========================

ถาม #9 : ถ้าจะยกเลิก LTF แล้วเอาตังออกมา คือพอครบกำหนดแล้วก็ถอนออกมาเลยได้ไหม ต้องทำยังไง

ตอบ : หน่วยลงทุนที่ครบกำหนดแล้ว สั่งขายได้เลย ปกติระบบ online จะมีเมนูแยกต่างหาก สำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะ คือจะมีหน้าที่บอกว่า LTF ที่ครบกำหนดแล้ว มีตัวไหน และขายได้เท่าไหร่อยู่ครับ, ขายแล้วซัก 2-3 วัน เงินค่าขายหน่วยฯ จะโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ที่เราผูกเอาไว้กับบัญชีกองทุนของเราเอง

===========================

ถาม #10 : จากที่อ่านคำตอบมา กำลังคิดว่า มันจะเป็นดอกเบี้ยทบต้นได้ยังไง
งั้นมันไม่เป็นการเก็งกำไรเหรอ คือฝากไปเรื่อยแล้วรอมันมีราคาสูง แล้วเราค่อยขายรวดเดียวไรงี้เหรอ
หรือเราจะต้องเล่นแล้วขายไปเรื่อย พอได้ % สูงทีนึง ก็ขาย แล้วก็ไปเอาเงินไปลงใหม่ ไม่สิมันซื้อได้แค่ 15% ของรายได้ปีนั้นนิ
แล้วงี้จะต่างไรกับการเก็งกำไรทั่วไป เหมือนซื้อหุ้นตอนหุ้นถูก แล้วขายตอนหุ้นแพง แต่หุ้นมันได้ปันผลนิ

ตอบ : แยกเป็น 2 คำถาม
1. เป็นการเก็งกำไรใช่หรือไม่ : ทั้ง ใช่ และ ไม่ใช่ มันขึ้นกับคนซื้อขายหน่วยลงทุน ว่าจะทำเป็นการเก็งกำไร หรือจะลงทุน
จุดแบ่งระหว่างการ เก็งกำไร กับ ลงทุน ไม่ได้ดูที่เรื่องว่า เราเอากำไรจากส่วนต่างของราคา หรือ เอากำไรจากปันผล แต่ดูจากพฤติกรรมของคนที่เล่น

นักลงทุนนั้นจะมองพื้นฐานของสิ่งที่ลงทุนก่อนและส่วนต่างของราคาเป็นผลพลอยได้(เอาเหมือนกันไม่ใช่ไม่เอา) จิตของนักลงทุน จะเป็นในลักษณะเฝ้าดูสิ่งที่ลงทุนมันเติบโตเหมือนการดูต้นไม้มันโต

ส่วนนักเก็งกำไรนั้น ไม่ค่อยสนใจพื้นฐานของสิ่งที่ลงทุน แต่เน้นการซื้อขายให้ได้กำไรอย่างเดียว อาจจะซื้อขายวันละหลายรอบ (ซึ่งถ้าเป็นกองทุนรวม ทำงี้ไม่ได้อยู่ล่ะ เพราะวันนึงซื้อขายมีผลได้ครั้งเดียว) หรือระยะเวลาถือสั้นมากและตั้งใจเล่นรอบ โดยดูสัญญานจากกราฟ technical และจิตวิทยาการลงทุน ในการชิงไหวชิงพริบกับคนอื่นๆที่อยู่ในตลาด ดังนั้นจิตของนักเก็งกำไรจะเป็นในลักษณะของการแข่งขัน มากกว่า

2. มันเป็นการทบต้นได้ยังไง : ถ้าหน่วยลงทุน มันโตแบบทบต้น เช่น โตปีละ 10% เมื่อเทียบกับ ปีที่แล้ว ทุกๆปี, การถือหน่วยลงทุนของเรา ก็ย่อมเป็นการทบต้นอยู่แล้วโดยไม่ต้องซื้อขายอะไร

หรือถ้ามองเป็นบัญชีเงินฝาก ดอกเบี้ยที่มันจ่ายให้เรา ถ้ามันลงไปรวมกับตัวเงินต้น แล้วถูกนับดอกเบี้ยรอบต่อไปด้วย มันก็เป็นดอกเบี้ยทบต้นแล้ว จะเห็นว่าไม่จำเป็นที่เราต้องถอนดอกเบี้ยนั้นออกมาก่อนแล้วฝากเข้าไปใหม่ มันถึงจะกลายเป็นทบต้นได้ เราแค่ปล่อยไว้เฉยๆมันก็ทบต้นอยู่แล้วครับ

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คำถามเกี่ยวกับกองทุนรวม LTF จากมือใหม่ (แบบสุดๆ)

ถาม #1 : สมมุติ ผมตัดสินใจเล่น LTF จะฝากเดือนแรก 5000 เพื่อซื้อกองทุน
แล้ว 5000 นี้มันจะถูกหักจากบัญชี ธ. ที่ผมฝากเอาไว้อยู่ก่อนแล้วใช่รึเปล่า
เช่น ผมมีบัญชี กสิกร อยู่ปากซอย, ถ้าเราซื้อ เราก็ต้องซื้อที่ กสิกร
แล้วบัญชีเงินที่เขาจะหัก ก็จะหักจากบัญชีนี้ใช่มั้ย

ตอบ : บัญชีกองทุนรวม เป็นบัญชีใหม่อีกบัญชีแยกต่างหากออกไปเลยครับ และตอนเราเปิดบัญชีกองทุนรวม มันจะให้เราระบุว่าเราจะผูกบัญชีกองทุนรวมอันนี้ เข้ากับบัญชีออมทรัพย์บัญชีไหนครับ ซึ่งปกติจะผูกกับบัญชีออมทรัพย์ของ ธนาคารใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเครือธนาคารเดียวกับกองทุนรวม

อาจจะมีบ้าง บางเครือธนาคาร ที่แบบฟอร์มจะให้ใส่บัญชีของธนาคารเครือเดียวกันเท่านั้น ถ้าเป็นต่างธนาคารต้องเสียค่าทำเนียมอะไรเพิ่ม แต่นั่นก็นานมาแล้ว ผมว่ายุคนี้ไม่น่าจะมีแบบนั้นเหลือแล้วน่ะครับ เชยล่ะ

==================
ถาม #2 : เราเอาเงินให้เขาเอาไปเล่นแล้วได้กำไร เงินกำไรจะไปรวมอยู่บัญชีใหม่ หรือบัญชีที่มันหักออกไป
บัญชีกองทุนคือการเปิดบัญชีใหม่เลยเหรอ แล้วเงินมันจะไปอยู่ที่ไหนยังไง ไม่เข้าใจ

ตอบ : มองกองทุนเป็นสินทรัพย์อย่างนึง เวลาเราสั่งซื้อ เราจะได้สิ่งที่เรียกว่า "หน่วยลงทุน" กลับมาอยู่ในบัญชีกองทุนเรา, หน่วยลงทุนเป็นตัวแทนความเป็นเจ้าของในกองทุนนั้นๆของเรา
ซึ่ง 1 หน่วยลงทุนจะมีการตรามูลค่าออกมาให้ จากผู้จัดการกองทุน ปกติวันละ 1 ครั้ง
ซึ่งค่า NAV = (ทรัพย์สินทั้งหมดของกองทุน - หนี้สินทั้งหมดของกองทุน)/จำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดของกองทุนนั้น

ตัวอย่างเช่น
ทรัพย์สินหลักๆของกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น อธิบายอย่างหยาบๆ ก็จะมี หุ้นที่กองทุนนี้ไปซื้อเอาไว้ และส่วนที่เป็นเงินสด
หนี้สิน ส่วนใหญ่น่าจะไม่มี (ก็มันระดมเงินจากนักลงทุนมาก็คงเยอะมหาศาลอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปกู้ใครก็ได้) แต่ใส่มาในสูตรงั้นๆ ตามหลักการทางบัญชีของมันครับ

เรื่องนี้อาจเข้าใจยากหน่อยสำหรับมือใหม่ แต่จะเข้าใจง่ายมากขึ้นเคยทำบัญชีงบดุลส่วนบุคคล (aka. งบแสดงฐานะการเงิน) และเคยเล่นหุ้นฝึกอ่านงบการเงิน มาก่อน

==================
ถาม #3 :โอกาสเจ๊งของกองทุน LTF ไรพวกนี้ กับโอกาสสำเร็จ มันสำเร็จบ่อยมั้ย
เข้าใจว่ายังไงเขาก็เก่งกว่าเรา แต่อยากรู้ว่า ความเสี่ยงมีแค่ไหน
เอาข้อมูล 5 ปีย้อนหลัง มาถึงปีที่แล้ว เห็นว่า 5 ปีได้กำไร 4 ปี แล้วมี 1 ปีที่ขาดทุน แต่โดยรวมๆ มันจะกำไรมากกว่าขาดทุน

ตอบ : ต้องนิยามคำว่า "เจ๊ง" กับ "สำเร็จ" ให้ตรงกันก่อนครับ
ถ้า "เจ๊ง" หมายถึง การที่มูลค่ากองทุนที่เราถืออยู่หายไปหมด (เหลือ 0) ผมก็คิดว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ครับ
แต่ถ้าหมายถึง การที่มีมูลค่าตกต่ำลง มากบ้าง (50%+) หรือ น้อยบ้าง (10%) มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดเป็นประจำครับ และไม่เคยมีกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นกองไหน ที่ไม่เคยมีจุดที่มูลค่าตกต่ำปรากฏอยู่บนกราฟของมัน แน่นอน ไม่ว่าผู้จัดการกองทุนจะเก่งแค่ไหนก็ตาม

กองทุนรวมประเภทที่อาจจะเป็นขาขึ้นตลอดไม่เห็นจุดที่ราคาตกลงมาเลย ผมเคยเห็นแต่กองประเภท MMF เท่านั้นครับ ซึ่งเป็นกองทุนที่ความเสี่ยงต่ำมากๆ และผลตอบแทนที่คาดหวังได้ก็ต่ำมากด้วยเช่นกัน คือผลตอบแทนหวังได้แค่ราวๆ 2% ต่อปีครับ ปกติใช้เป็นที่พักเงินในกรณีไม่รู้จะไปลงทุนอะไรที่ไหนครับ เพราะความคล่องตัวจะมากกว่าบัญชีเงินฝากประจำของธนาคาร

ส่วนคำว่า "สำเร็จ" เข้าใจว่าคือมีกำไร, ก็เหมือนกันครับ เพราะราคากองทุนรวม LTF ซึ่งลงทุนหลักๆในหุ้นนั้น ราคามันก็ ขึ้นๆลงๆ เหมือนตลาดหุ้น ที่ขึ้นๆลงๆ นั่นเลยครับ แต่อาจจะผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นจริงได้บ้าง ถ้านโยบายการลงทุนของกองนั้นๆ เน้นแบบอนุรักษ์นิยม เล่นแต่หุ้นใหญ่ (หุ้นอุ้ยอ้าย ตามหลักการของปีเตอร์ ลินซ์) แต่เทรนหลักๆก็จะไปตามตลาดหุ้นจริงครับ

คำถามข้อนี้จะเห็นภาพชัดกระจ่างมาก ถ้าเข้าในคำตอบจากคำถามข้อ #2 ครับ

==================
ถาม #4 : แล้วยังงี้ถ้าเราเป็นเจ้าของบัญชีกองทุนแล้วเนี่ย เราจะเข้าไปเช๊คความเคลื่อนไหวของบัญชีกองทุนเราได้ตลอดเลยรึเปล่า
แล้วเราต้องฝากเข้าไปทุกเดือนใช่มั้ย ถ้าไม่ฝากจะเป็นไง

ตอบ : เข้าไปเช๊คได้ตลอดเลยครับ ถ้าเปิดบริการลงทุน online ผ่านอินเตอร์เน็ตไว้ สามารถกลับ login เข้าไปดูเมื่อไหร่ก็ได้ครับ

การสั่งซื้อกองทุนรวมนั้น เป็นอิสระของเราโดยแท้ครับ จะซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ เท่าไหร่ก็ได้ (แหงละ เราเอาเงินไปให้เขา เขาชอบอยู่แล้ว) แต่ถ้าเป็น LTF ส่วนที่เอาไปใช้สิทธิทางภาษีได้จะต้องไม่เกินที่กฏหมายกำหนดครับ คือซื้อได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ปีนั้นๆ หรือไม่เกิน 500,000 บาท

ส่วนการสั่งขาย สำหรับ LTF ถ้าเราจะรักษาสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี เราต้องถือไว้ ห้ามขาย จนกว่ากองทุนจะครบอายุ 5 ปีปฏิทิน (แต่ถ้าซื้อปี 2559 นี้ จะเปลี่ยนเป็น 7 ปีปฏิทินแล้วน่ะครับ ผมเลยเลิกซื้อ LTF ละ) ถ้าสั่งขายก่อนครบกำหนด เราจะเสียสิทธิ์ทางภาษีทันที และส่วนเงินลดหย่อนที่เคยได้คืนไปแล้ว ก็ต้องไปจ่ายคืนให้สรรพากรด้วยครับ ไม่งั้นมีความผิดตามกฏหมาย
สำหรับกองทุนรวมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ LTF หรือ RMF ขึ้นกับเงื่อนไขของกองทุนนั้นๆครับ ลองอ่านในหนังสือชี้ชวนการลงทุนให้ละเอียดว่าเงื่อนไขการซื้อหรือขายเป็นยังไง แต่ส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างเสรีครับ

สำหรับ LTF ไม่จำกัดว่าต้องซื้อทุกเดือน เรามีอิสระครับตามที่อธิบายข้างต้น ขอแค่ซื้อภายในปีภาษีนั้นๆ ก็ใช้สิทธิ์ทางภาษีของปีนั้นได้ครับ ดังนั้นถ้าไม่ฝาก(หรือก็คือ การสั่งซื้อของทุน) ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ

==================
ถาม #5 : เข้าใจว่ามันเซ็ตให้หักรายได้อัติโนมัติของแต่ละเดือนได้ เช่น 10% ของเงินเดือน เป็นสำหรับคนทำงานประจำ แต่ถ้ารายได้เราไม่แน่นอน มันจะคำนวณยังไง ว่ามันต้องหักเงินเราไปเท่าไหร่

ตอบ : คำถามนี้กำลังพูดถึงการลงทุนแบบอัติโนมัติ หรือ DCA (Dollar Cost Average) อันที่จริง ระบบมันต้องให้เราระบุชัดเจนไปเลยครับว่า เราจะให้หักทุกเดือน (หรือทุก 2 เดือน หรือ 3 เดือนก็ได้น่ะ ขึ้นกับว่าระบบของ บลจ. นั้นๆมันไฮเทคแค่ไหน) และหักเดือนละ กี่บาท ครับ เพราะระบบมันไม่มีทางรู้ครับว่าเรามีรายรับเดือนละกี่บาท

ดังนั้น เราเองต้องรู้ตัวเองครับ จากแผนการเงินของตัวเอง จากการทำบัญชีงบการเงินส่วนบุคคลของตัวเอง ว่าเรานั้นมีรายได้เฉลี่ยเดือนละกี่บาท แล้วถ้าอยากแบ่ง 10% ตามตัวอย่าง เอาไป DCA กองทุนนี้ทุกๆเดือน เราต้อง DCA เดือนละกี่บาท
เมื่อรู้แล้วก็เซ็ตระบบ DCA ไปตามนั้น เท่านั้นเองครับ

การลงทุนแบบ DCA นั้น แม้จะค่อนข้างปลอดภัย และเหมาะกับมือใหม่ แต่ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัย 100% ซะทีเดียว ไว้มีโอกาสอื่นจะมาเล่าต่อครับ

==================
ถาม #6 : อ่านหนังสือของ tactschool แล้วยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ เห็นบอกแค่ กองแบบไหนค่าใช้จ่ายต่ำ
และบอกว่า ผลตอบแทนย้อนหลังดูได้ แต่อย่าจริงจังมาก การลงทุนให้ดูปัจจุบันเท่านั้น
การที่อดีตมีกำไร ไม่ได้แปลว่าจะกำไรได้ต่อไป การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง

ตอบ : บางคำถามผมก็คาดไม่ถึงเหมือนกันครับ แต่ก็พอนึกออกว่าตอนทีี่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็จะถามแนวๆนี้แหละ ดังนั้นไม่แปลกที่หนังสือเขาจะไม่ได้เขียนไว้ครับ เพราะพอเราฝึกมานานระยะนึง มันก็ลืมๆช่วงเวลาที่เราเริ่มต้นใหม่ๆยังไม่เป็นอะไรเลยได้ครับ ว่าตอนนั้นเราเคยถามคำถาม non sense ไว้มากแค่ไหน แต่หนังสือของ tactschool นี่ถือว่าอ่านง่ายมากและสนุกครับ แนะนำสำหรับมือใหม่

เรื่องผลตอบแทนย้อนหลัง เห็นด้วยครับตามนั้น คือดูได้น่ะ มันช่วยได้ระดับนึง แต่ต้องดูปัจจุบันด้วยว่า มันยังเหมือนเดิมกับสมัยอดีตบนกราฟที่มันดูดีนั่นรึเปล่า บางทีถ้ามีการเปลี่ยน ผู้จัดการกองทุน หรือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป นโยบายการลงทุนของแต่ละกอง ก็จะได้เปรียบเสียเปรียบแตกต่างกันไปครับ