ถาม #1 : สมมุติ ผมตัดสินใจเล่น LTF จะฝากเดือนแรก 5000 เพื่อซื้อกองทุน
แล้ว 5000 นี้มันจะถูกหักจากบัญชี ธ. ที่ผมฝากเอาไว้อยู่ก่อนแล้วใช่รึเปล่า
เช่น ผมมีบัญชี กสิกร อยู่ปากซอย, ถ้าเราซื้อ เราก็ต้องซื้อที่ กสิกร
แล้วบัญชีเงินที่เขาจะหัก ก็จะหักจากบัญชีนี้ใช่มั้ย
ตอบ : บัญชีกองทุนรวม เป็นบัญชีใหม่อีกบัญชีแยกต่างหากออกไปเลยครับ และตอนเราเปิดบัญชีกองทุนรวม มันจะให้เราระบุว่าเราจะผูกบัญชีกองทุนรวมอันนี้ เข้ากับบัญชีออมทรัพย์บัญชีไหนครับ ซึ่งปกติจะผูกกับบัญชีออมทรัพย์ของ ธนาคารใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเครือธนาคารเดียวกับกองทุนรวม
อาจจะมีบ้าง บางเครือธนาคาร ที่แบบฟอร์มจะให้ใส่บัญชีของธนาคารเครือเดียวกันเท่านั้น ถ้าเป็นต่างธนาคารต้องเสียค่าทำเนียมอะไรเพิ่ม แต่นั่นก็นานมาแล้ว ผมว่ายุคนี้ไม่น่าจะมีแบบนั้นเหลือแล้วน่ะครับ เชยล่ะ
==================
ถาม #2 : เราเอาเงินให้เขาเอาไปเล่นแล้วได้กำไร เงินกำไรจะไปรวมอยู่บัญชีใหม่ หรือบัญชีที่มันหักออกไป
บัญชีกองทุนคือการเปิดบัญชีใหม่เลยเหรอ แล้วเงินมันจะไปอยู่ที่ไหนยังไง ไม่เข้าใจ
ตอบ : มองกองทุนเป็นสินทรัพย์อย่างนึง เวลาเราสั่งซื้อ
เราจะได้สิ่งที่เรียกว่า "หน่วยลงทุน" กลับมาอยู่ในบัญชีกองทุนเรา,
หน่วยลงทุนเป็นตัวแทนความเป็นเจ้าของในกองทุนนั้นๆของเรา
ซึ่ง 1 หน่วยลงทุนจะมีการตรามูลค่าออกมาให้ จากผู้จัดการกองทุน ปกติวันละ 1 ครั้ง
ซึ่งค่า NAV = (ทรัพย์สินทั้งหมดของกองทุน
- หนี้สินทั้งหมดของกองทุน)/จำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดของกองทุนนั้น
ตัวอย่างเช่น
ทรัพย์สินหลักๆของกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น อธิบายอย่างหยาบๆ ก็จะมี หุ้นที่กองทุนนี้ไปซื้อเอาไว้ และส่วนที่เป็นเงินสด
หนี้สิน ส่วนใหญ่น่าจะไม่มี (ก็มันระดมเงินจากนักลงทุนมาก็คงเยอะมหาศาลอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปกู้ใครก็ได้) แต่ใส่มาในสูตรงั้นๆ ตามหลักการทางบัญชีของมันครับ
เรื่องนี้อาจเข้าใจยากหน่อยสำหรับมือใหม่ แต่จะเข้าใจง่ายมากขึ้นเคยทำบัญชีงบดุลส่วนบุคคล (aka. งบแสดงฐานะการเงิน) และเคยเล่นหุ้นฝึกอ่านงบการเงิน มาก่อน
==================
ถาม #3 :โอกาสเจ๊งของกองทุน LTF ไรพวกนี้ กับโอกาสสำเร็จ มันสำเร็จบ่อยมั้ย
เข้าใจว่ายังไงเขาก็เก่งกว่าเรา แต่อยากรู้ว่า ความเสี่ยงมีแค่ไหน
เอาข้อมูล 5 ปีย้อนหลัง มาถึงปีที่แล้ว เห็นว่า 5 ปีได้กำไร 4 ปี แล้วมี 1 ปีที่ขาดทุน แต่โดยรวมๆ มันจะกำไรมากกว่าขาดทุน
ตอบ : ต้องนิยามคำว่า "เจ๊ง" กับ "สำเร็จ" ให้ตรงกันก่อนครับ
ถ้า "เจ๊ง" หมายถึง การที่มูลค่ากองทุนที่เราถืออยู่หายไปหมด (เหลือ 0) ผมก็คิดว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ครับ
แต่ถ้าหมายถึง การที่มีมูลค่าตกต่ำลง มากบ้าง (50%+) หรือ น้อยบ้าง (10%) มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดเป็นประจำครับ และไม่เคยมีกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นกองไหน ที่ไม่เคยมีจุดที่มูลค่าตกต่ำปรากฏอยู่บนกราฟของมัน แน่นอน ไม่ว่าผู้จัดการกองทุนจะเก่งแค่ไหนก็ตาม
กองทุนรวมประเภทที่อาจจะเป็นขาขึ้นตลอดไม่เห็นจุดที่ราคาตกลงมาเลย ผมเคยเห็นแต่กองประเภท MMF เท่านั้นครับ ซึ่งเป็นกองทุนที่ความเสี่ยงต่ำมากๆ และผลตอบแทนที่คาดหวังได้ก็ต่ำมากด้วยเช่นกัน คือผลตอบแทนหวังได้แค่ราวๆ 2% ต่อปีครับ ปกติใช้เป็นที่พักเงินในกรณีไม่รู้จะไปลงทุนอะไรที่ไหนครับ เพราะความคล่องตัวจะมากกว่าบัญชีเงินฝากประจำของธนาคาร
ส่วนคำว่า "สำเร็จ" เข้าใจว่าคือมีกำไร, ก็เหมือนกันครับ เพราะราคากองทุนรวม LTF ซึ่งลงทุนหลักๆในหุ้นนั้น ราคามันก็ ขึ้นๆลงๆ เหมือนตลาดหุ้น ที่ขึ้นๆลงๆ นั่นเลยครับ แต่อาจจะผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นจริงได้บ้าง ถ้านโยบายการลงทุนของกองนั้นๆ เน้นแบบอนุรักษ์นิยม เล่นแต่หุ้นใหญ่ (หุ้นอุ้ยอ้าย ตามหลักการของปีเตอร์ ลินซ์) แต่เทรนหลักๆก็จะไปตามตลาดหุ้นจริงครับ
คำถามข้อนี้จะเห็นภาพชัดกระจ่างมาก ถ้าเข้าในคำตอบจากคำถามข้อ #2 ครับ
==================
ถาม #4 : แล้วยังงี้ถ้าเราเป็นเจ้าของบัญชีกองทุนแล้วเนี่ย เราจะเข้าไปเช๊คความเคลื่อนไหวของบัญชีกองทุนเราได้ตลอดเลยรึเปล่า
แล้วเราต้องฝากเข้าไปทุกเดือนใช่มั้ย ถ้าไม่ฝากจะเป็นไง
ตอบ : เข้าไปเช๊คได้ตลอดเลยครับ ถ้าเปิดบริการลงทุน online ผ่านอินเตอร์เน็ตไว้ สามารถกลับ login เข้าไปดูเมื่อไหร่ก็ได้ครับ
การสั่งซื้อกองทุนรวมนั้น เป็นอิสระของเราโดยแท้ครับ จะซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ เท่าไหร่ก็ได้ (แหงละ เราเอาเงินไปให้เขา เขาชอบอยู่แล้ว) แต่ถ้าเป็น LTF ส่วนที่เอาไปใช้สิทธิทางภาษีได้จะต้องไม่เกินที่กฏหมายกำหนดครับ คือซื้อได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ปีนั้นๆ หรือไม่เกิน 500,000 บาท
ส่วนการสั่งขาย สำหรับ LTF ถ้าเราจะรักษาสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี เราต้องถือไว้ ห้ามขาย จนกว่ากองทุนจะครบอายุ 5 ปีปฏิทิน (แต่ถ้าซื้อปี 2559 นี้ จะเปลี่ยนเป็น 7 ปีปฏิทินแล้วน่ะครับ ผมเลยเลิกซื้อ LTF ละ) ถ้าสั่งขายก่อนครบกำหนด เราจะเสียสิทธิ์ทางภาษีทันที และส่วนเงินลดหย่อนที่เคยได้คืนไปแล้ว ก็ต้องไปจ่ายคืนให้สรรพากรด้วยครับ ไม่งั้นมีความผิดตามกฏหมาย
สำหรับกองทุนรวมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ LTF หรือ RMF ขึ้นกับเงื่อนไขของกองทุนนั้นๆครับ ลองอ่านในหนังสือชี้ชวนการลงทุนให้ละเอียดว่าเงื่อนไขการซื้อหรือขายเป็นยังไง แต่ส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างเสรีครับ
สำหรับ LTF ไม่จำกัดว่าต้องซื้อทุกเดือน เรามีอิสระครับตามที่อธิบายข้างต้น ขอแค่ซื้อภายในปีภาษีนั้นๆ ก็ใช้สิทธิ์ทางภาษีของปีนั้นได้ครับ ดังนั้นถ้าไม่ฝาก(หรือก็คือ การสั่งซื้อของทุน) ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ
==================
ถาม #5 : เข้าใจว่ามันเซ็ตให้หักรายได้อัติโนมัติของแต่ละเดือนได้ เช่น 10% ของเงินเดือน เป็นสำหรับคนทำงานประจำ แต่ถ้ารายได้เราไม่แน่นอน มันจะคำนวณยังไง ว่ามันต้องหักเงินเราไปเท่าไหร่
ตอบ : คำถามนี้กำลังพูดถึงการลงทุนแบบอัติโนมัติ หรือ DCA (Dollar Cost Average) อันที่จริง ระบบมันต้องให้เราระบุชัดเจนไปเลยครับว่า เราจะให้หักทุกเดือน (หรือทุก 2 เดือน หรือ 3 เดือนก็ได้น่ะ ขึ้นกับว่าระบบของ บลจ. นั้นๆมันไฮเทคแค่ไหน) และหักเดือนละ กี่บาท ครับ เพราะระบบมันไม่มีทางรู้ครับว่าเรามีรายรับเดือนละกี่บาท
ดังนั้น เราเองต้องรู้ตัวเองครับ จากแผนการเงินของตัวเอง จากการทำบัญชีงบการเงินส่วนบุคคลของตัวเอง ว่าเรานั้นมีรายได้เฉลี่ยเดือนละกี่บาท แล้วถ้าอยากแบ่ง 10% ตามตัวอย่าง เอาไป DCA กองทุนนี้ทุกๆเดือน เราต้อง DCA เดือนละกี่บาท
เมื่อรู้แล้วก็เซ็ตระบบ DCA ไปตามนั้น เท่านั้นเองครับ
การลงทุนแบบ DCA นั้น แม้จะค่อนข้างปลอดภัย และเหมาะกับมือใหม่ แต่ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัย 100% ซะทีเดียว ไว้มีโอกาสอื่นจะมาเล่าต่อครับ
==================
ถาม #6 : อ่านหนังสือของ tactschool แล้วยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ เห็นบอกแค่ กองแบบไหนค่าใช้จ่ายต่ำ
และบอกว่า ผลตอบแทนย้อนหลังดูได้ แต่อย่าจริงจังมาก การลงทุนให้ดูปัจจุบันเท่านั้น
การที่อดีตมีกำไร ไม่ได้แปลว่าจะกำไรได้ต่อไป การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง
ตอบ : บางคำถามผมก็คาดไม่ถึงเหมือนกันครับ แต่ก็พอนึกออกว่าตอนทีี่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็จะถามแนวๆนี้แหละ ดังนั้นไม่แปลกที่หนังสือเขาจะไม่ได้เขียนไว้ครับ เพราะพอเราฝึกมานานระยะนึง มันก็ลืมๆช่วงเวลาที่เราเริ่มต้นใหม่ๆยังไม่เป็นอะไรเลยได้ครับ ว่าตอนนั้นเราเคยถามคำถาม non sense ไว้มากแค่ไหน แต่หนังสือของ tactschool นี่ถือว่าอ่านง่ายมากและสนุกครับ แนะนำสำหรับมือใหม่
เรื่องผลตอบแทนย้อนหลัง เห็นด้วยครับตามนั้น คือดูได้น่ะ มันช่วยได้ระดับนึง แต่ต้องดูปัจจุบันด้วยว่า มันยังเหมือนเดิมกับสมัยอดีตบนกราฟที่มันดูดีนั่นรึเปล่า บางทีถ้ามีการเปลี่ยน ผู้จัดการกองทุน หรือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป นโยบายการลงทุนของแต่ละกอง ก็จะได้เปรียบเสียเปรียบแตกต่างกันไปครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น